ชื่อสมุนไพร |
เครือปลาสงแดง |
ชื่ออื่นๆ |
เครือเจ็น (เชียงใหม่), เครือซุด, เครือซุดแดง, ชัยสง(เลย), เครืออีโม้, เต่าไห้ (ตราด), เถาโก (ประจวบคีรีขันธ์), เถายอดแดง (อ่างทอง), เถาวัลย์แดง, หัวขวาน (ชลบุรี), ปอเต่าไห้ (จันทบุรี), หุนน้ำ (สระบุรี) |
ชื่อวิทยาศาสตร์ |
Ichnocarpus frutescens (L.) W.T.Aiton |
ชื่อพ้อง |
Aganosma affinis (Roem. & Schult.) G.Don, Apocynum crassifolium Salisb., A. frutescens L. , Beluttakaka malabarica (Lam.) Kuntze, Carruthersia daronensis Elmer, Chonemorpha bantamensis G.Don, C. malabarica (Lam.) G.Don, Echites affinis Roem. & Schult., E. bantamensis Blume, E. ferrugineus Thunb., E. frutescens (L.) Roxb., E. malabaricus Lam., E. trichonemus Zipp. ex Span, Gardenia volubilis Lour., Ichnocarpus affinis (Roem. & Schult.) K.Schum., I. bantamensis (Blume) Miq., I. dasycalyx Miq., I. leptodictyus F.Muell., I. microcalyx Pit., I. moluccanus Miq., I. ovatifolius A.DC., I. oxypetalus Pit., I. sogerensis Wernham ex S.Moore , I. volubilis (Lour.) Merr., Micrechites sinensis Markgr., Periploca palvallii Dennst., Quirivelia bantamensis (Blume) F.N.Williams, Q. frutescens (L.) M.R.Almeida & S.M.Almeida, Q. zeylanica Poir., Springia indica Van Heurck & Müll.Arg., Tabernaemontana parviflora Poir., Thyrsanthus parviflorus (Poir.) Miers |
ชื่อวงศ์ |
Apocynaceae |
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็ง ยาว 2-8 เมตร แตกกิ่งก้านมาก กิ่งอ่อนมีขนสั้นๆ เถาสีน้ำตาลแดง เถาอ่อนมีขนสีน้ำตาล ทุกส่วนมีน้ำยางขาว ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม แผ่นใบหนา เรียบ สีเขียวเข้ม มีขนตามเส้นใบ ใบรูปขอบขนานแกมใบหอก หรือรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 2.5-4.5 ซม. ยาว 7-11 ซม. ปลายเรียวแหลม โคนรูปลิ่มถึงมน ขอบใบเรียบ หลังใบเกลี้ยง ท้องใบมีขนประปรายที่เส้นใบ เส้นใบหลัก 5-7 คู่ ก้านใบยาว 0.8-1.2 ซม. อาจพบขนหรือไม่มี ดอกช่อแยกแขนง มีกลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ ดอกมีขนาดเล็ก ออกที่ซอกใบ และปลายกิ่ง ดอกย่อยจำนวนมาก 11-80 ดอก ก้านดอกย่อยยาว 2-3 มม. มีขนสั้นหนานุ่ม ก้านช่อดอกยาว 0.3-4.2 ซม. มีขนสั้นหนานุ่ม กลีบดอกสีขาว หรือสีเหลืองนวล กลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด หลอดกลีบรูปถ้วย กว้าง 1.0-1.5 มม. ยาว 2.0-2.5 มม. ปลายแยก 5 กลีบ ปลายแฉกมน รูปไข่ กว้าง 1.5-2.0 มม. ยาว 2.0-2.5 มม. โดยด้านข้างของส่วนปลายกลีบจะยื่นยาวคล้ายหาง 2-3 มม. ขอบเป็นคลื่น มีขนอุยที่โคนแฉกด้านในและขนสั้นนุ่มตามขอบ ส่วนด้านนอกเกลี้ยง ทำให้มองเห็นขอบกลีบเป็นฝอยละเอียด กลีบดอกเรียงบิดเวียนขวา ใบประดับ 2 อัน รองรับช่อดอกย่อย รูปไข่ กว้าง 0.5 มม. ยาว 1.0-1.5 มม. ขอบเรียบ พบขนสีน้ำตาลแดงกระจายทั่วผิวด้านนอก ส่วนด้านในเกลี้ยง กลีบเลี้ยง หลอดกลีบรูปถ้วยสั้นๆ กว้าง 1.0-1.5 มม. ยาว 1.5 มม. ปลายแยกแฉกแหลม รูปไข่หรือคล้ายสามเหลี่ยม สีเขียว มีขนสั้นนุ่มหนาแน่นสีน้ำตาลแดง เกสรเพศผู้สีเหลือง ผิวเกลี้ยง อับเรณูยาว 1 มม. ติดที่ฐาน โคนมน ปลายเรียวแหลม ซึ่งแตะล้อมรอบ ก้านและยอดเกสรเพศเมีย ก้านชูอับเรณูยาว 2-3 มม. อยู่สูงจากโคนหลอดดอกประมาณ 1 มม. เกสรเพศเมีย รังไข่เหนือวงกลีบ เกิดจาก 2 คาร์เพล แต่ละคาร์เพลมี 15-35 ออวุล รังไข่มีขนสั้นนุ่มและใสที่ผิวด้านบน โคนเชื่อมกัน ปลายแยก ก้านเกสรเพศเมียยาว 1 มม. เกลี้ยง ยอดเกสรเพศเมียยาว 1 มม. เกลี้ยง สีขาวหรือสีเหลืองอ่อน จานฐานดอก 5 อัน แยกกัน รูปไข่หรือคล้ายขวด ยาว 0.5-1.0 มม. โคนเชื่อมแตะรังไข่ ปลายมนหรือกลม เกลี้ยง สีขาวหรือขาวอมเหลือง ผลเป็นฝักคู่ รูปทรงกระบอก ปลายแหลม กว้าง 1.6-5 มิลลิเมตร ยาว 3-10.5 เซนติเมตร เมื่อฝักแห้งแตกตะเข็บเดียว เมล็ดสีน้ำตาล มีกระจุกขนสีขาวคล้ายเส้นไหมติดอยู่ที่ปลายเมล็ด ออกดอกราวเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม พบกระจายทั่วไปตามป่าเบญจพรรณผสม พื้นที่โล่ง ป่าดงดิบ ป่าโปร่ง ป่าพรุ ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 850 เมตร